สูตรเสือมังกร คืออะไร

สาเหตุที่ทำให้ไพ่เสือมังกรถูกเรียกว่าเป็นไพ่พี่ไพ่น้องของบาคาร่าก็เพราะว่ามันคืออีกหนึ่งรูปแบบเกมไพ่ที่พัฒนามาจากบาคาร่านั่นเอง โดยวิธีเล่นเราต้องทายว่าฝั่งไหนจะชนะ หรือว่าผลจะออกมาเสมอ แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ บาคาร่าจะมีการเรียกไพ่ใบที่ 3 ออกมา รวมถึงมีกฎกติกาที่ซับซ้อนกว่าจึงใช้เวลาในการตัดสินผลแพ้ชนะ แถมยังมีการหักค่าคอมมิชชั่นหากเราทายถูกว่าฝั่งเจ้ามือชนะอีกด้วย ขณะที่ เสือมังกร ใช้แค่ไพ่ใบเดียวตัดสินผลกันได้เลย ไม่ต้องเสียค่าคอมแม้แต่บาทเดียว ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ ถ้าหากผลออกมาเป็นเสมอ แต่เราไม่ได้ทายว่าเสมอจะไม่มีการคืนเดิมพัน ถึงอย่างนั้นก็มี คาสิโนออนไลน์ บางเจ้าเขาคืนให้ 50%

สำหรับสูตรเสือมังกรที่นิยมใช้ก็คือการอ่านเค้าไพ่ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการเล่นไพ่บาคาร่า ถือได้ว่าเป็นวิธีที่มีความแม่นยำระดับนึง โดยเค้าไพ่ที่นิยมใช้กันก็คือ เค้าไพ่ปิงปอง กับ เค้าไพ่มังกร เพราะสองแบบนี้อ่านง่ายไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย มีโอกาสที่จะชนะมากกว่า 2 ตาอยู่แล้ว

ในการอ่านเค้าไพ่ เสือมังกร เราจะดูกันที่ขอนไพ่หรือตารางออกรางวัลตลอดเกมซึ่งจะมีแสดงไว้อยู่ทุกโต๊ะทุกห้อง ส่วนลักษณะเค้าไพ่จะเป็นดังนี้

เค้าไพ่ปิงปอง

หรือที่เรียกกันว่าเค้าไพ่สลับ ด้วยรูปแบบที่มันจะออกผลรางวัลสลับไปมาสองฝั่งเหมือนกับเราตีปิงปอง วิธีการอ่านให้ดูว่าใน 3 ครั้งล่าสุดผลออกมาสลับฝั่งชนะกันหรือไม่ เช่น มังกร – เสือ – มังกร หรือ เสือ – มังกร – เสือ หากเป็นลักษณะนี้ในตาต่อไปให้เราวางเดิมพันในฝั่งตรงกันข้ามของครั้งล่าสุด สมมติว่าผลที่ออกคือ เสือ – มังกร – เสือ ตาต่อไปเราวางเดิมพันฝั่งมังกรรอได้เลย

เค้าไพ่มังกร

ลักษณะของผลรางวัลคือจะออกฝั่งใดฝั่งหนึ่งติดกันยาว ๆ อย่างน้อย 4 ครั้ง ตรงนี้ให้เราดูว่าใน 4 ครั้งล่าสุดมันออกแค่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเท่านั้นหรือไม่ เช่น มังกร – มังกร – มังกร – มังกร หรือ เสือ – เสือ – เสือ – เสือ เป็นต้น หากออกแบบนี้ตาต่อไปให้เราแทงตามได้เลย สมมติว่า 4 ครั้งล่าสุดออกแต่ฝั่งเสือ อย่างนี้ให้เราแทงเสือตาม

อันที่จริงแล้วเค้าไพ่ไม่ได้มีแค่สองแบบนี้เท่านี้ มันยังมีอีกหลายรูปแบบ เพียงแต่เค้าไพ่ปิงปองกับเค้าไพ่มังกรมันอ่านง่ายเข้าใจเร็ว ส่วนใครที่สนใจศึกษาเค้าไพ่รูปแบบอื่นได้ยิ่งดี มันจะช่วยให้เรามีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น

การอ่านเค้าไพ่เก่งก็ไม่ได้มีอะไรมารับประกันนะว่าเราจะสามารถเอาชนะไปได้ตลอด ยังไงมันก็ต้องมีครั้งที่พลาดกันบ้าง การรู้จักวิธีเดินเงินจึงเป็นอีกเรื่องที่ควรศึกษาไว้ อย่างน้อยถึงจะแพ้แต่ก็ควรแพ้แบบไม่เสียเงิน ซึ่งสูตรเดินเงินที่ใช้ในวงการ คาสิโนออนไลน์ ก็มีมากมายอีกเช่นกัน ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่าสูตรเดินเงินตัวไหนที่เหมาะกับ เสือมังกร

สูตรเดินเงินเสือมังกร คืออะไร

            แค่อ่านเค้าไพ่ได้ก็ทำได้แค่เพิ่มโอกาสชนะเท่านั้น ตราบใดที่ยังวางเดิมพันไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องลงเงินมากน้อยแค่ไหนเวลาได้หรือเสีย ก็ยากที่จะทำกำไรได้จริง ถึงอย่างนั้นก็มีสิ่งที่ช่วยได้ก็คือสูตรเดินเงินเสือมังกร และที่นิยมใช้กันทั่วไปก็มี

สูตรเดินเงิน Martingale

ถือได้ว่าเป็นสูตรเดินเงินยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของคนเล่นเสือมังกรกันเลยทีเดียว ระบบเดินเงินจะแบ่งการวางเดิมพันออกเป็น 5 รอบ หรือที่เรียกกันว่า 5 ระยะ / ไม้ วิธีใช้งานก็ง่าย ๆ คือเราจะต้องทบเดิมพันไป 1 เท่าของเดิมพันในรอบที่แพ้ล่าสุด ทำแบบนี้ไปจนกว่าจะชนะ หากชนะก็ให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ จุดเด่นของมันก็คือเรามีโอกาสแพ้มากถึง 4 ครั้ง ถ้าหากสามารถเอาชนะในครั้งที่ 5 ได้ เราจะได้รับเงินทุนที่เสียไปทั้งหมดกลับคืนมาบวกด้วยกำไรอีก 1 หน่วย

ส่วนคนที่จะใช้สูตรเดินเงินตัวนี้ได้จำเป็นต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 100 หน่วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะวางเดิมพันครั้งละ 100 บาท ก็จำเป็นต้องมีเงินทุนไว้สัก 10,000 บาทนั่นเอง

สูตรเดินเงิน Fiboncci

สูตรนี้จะใช้วิธีการวางเดิมพันเป็นสเตปด้วยหลักการตัวเลขที่อนุกรมกัน เป็นสูตรที่คิดค้นด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์ และเมื่อนำมาใช้กับการเล่น เสือมังกร แล้วถือว่าใช้เงินทุนน้อยกว่า Martingale มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า เหมาะกับคนที่อยากนั่งเล่นนาน ๆ สำหรับวิธีการเดินเงินคือ 1 – 1 – 2 – 3 – 5 – 8 – 13 – 21 – 34 – 55 ยกตัวอย่างเช่น

• ถ้าเดิมพันแล้วแพ้ ทบเงินเดิมพันขึ้นไป 1 สเตป
• ถ้าเดิมพันแล้วชนะ ลดสเตปการเดิมพันลง 2 สเตป

วิธีการเดินเงินแบบนี้จะให้กำไรได้ดีในระยะยาม ยิ่งชนะเราก็ยิ่งแช่อยู่ที่สเตป 1 ไปเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องระวังไปติดอยู่ระหว่างสเตป 3 – 5 ด้วย แม้ว่าช่วงนั้นเราจะสลับกันแพ้ชนะ แต่มันก็ทำให้เงินของเราค่อย ๆ ลดลงอย่างไม่ทันรู้ตัวเหมือนกัน

แนวคิดของกลยุทธ์ 1324

จากสถิติแล้วกลยุทธ์นี้สามารถทำงานได้ดีกับเกมพนันที่มีลักษณะการวางเดิมพันที่มีโอกาสชนะ 50/50 อย่าง บาคาร่า ที่ต้องลุ้นว่าฝั่งเจ้ามือหรือผู้เล่นจะเป็นฝ่ายชนะ หรือแม้แต่ไฮโล, รูเล็ต ที่มีการแทงแบบคู่-คี่, สูง-ต่ำ, แดง-ดำ ก็สามารถใช้สูตรนี้ได้เช่นกัน เพราะเป็นเกมที่มีโอกาสแพ้/ชนะกันครึ่งต่อครึ่ง แต่จะมีกฎคือ ห้ามแทงฝั่งเสมอหรือฝั่งที่มีอัตราจ่ายมากกว่า 1 เท่า เพราะยิ่งอัตราจ่ายสูงยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่เราจะเสียเดิมพันไปด้วย

วิธีใช้กลยุทธ์ 1324

สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือแบ่งทุนที่มีอยู่ออกเป็นหน่วยละเท่า ๆ กัน เวลาใช้สูตรนี้เราจะเล่นด้วยกัน 4 ตา หากชนะเดิมพันให้เล่นตาต่อไป แต่ถ้าแพ้ก็ให้กลับมาเริ่มตาที่ 1 ใหม่ ในแต่ละตาจะมีเงื่อนไขการลงเงินดังนี้

ตาที่ 1 วางเดิมพันไป 1 หน่วย

ตาที่ 2 วางเดิมพันไป 3 หน่วย

ตาที่ 3 วางเดิมพันไป 2 หน่วย

ตาที่ 4 วางเดิมพันไป 4 หน่วย

ยกตัวอย่างเช่น

ตาที่ 1 วางเดิมพัน 10 บาท

• ถ้าชนะ จะได้กำไร 10 บาท
• ถ้าแพ้ จะเสียเดิมพัน 10 บาท

ตาที่ 2 วางเดิมพัน 30 บาท (ทุน 20 บาท กำไรจากตาที่ 1 10 บาท)

• ถ้าชนะ จะได้กำไร 30 บาท รวมกำไรสะสม 40 บาท
• ถ้าแพ้ จะเสียเดิมพัน 30 บาท และไม่เหลือกำไร

ตาที่ 3 ใช้กำไรวางเดิมพัน 20 บาท

• ถ้าชนะ จะได้กำไร 20 บาท รวมกำไรสะสม 60 บาท
• ถ้าแพ้ จะเสียเดิมพัน 20 บาท เหลือกำไร 20 บาท

ตาที่ 4 ใช้กำไรวางเดิมพัน 40 บาท

• ถ้าชนะ จะได้กำไร 40 บาท รวมกำไรสะสม 100 บาท
• ถ้าแพ้ จะเสียเดิมพัน 40 บาท เหลือกำไร 20 บาท

ระดับความเสี่ยง

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก ๆ มีเพียงแค่ตาที่ 1 กับ 2 เท่านั้นที่เสี่ยงจะเสียเดิมพัน สิ่งที่ต้องทำก็คือหาจังหวะเข้าเล่นให้ได้เพื่อที่จะสร้างโอกาสชนะ 2 ตาติดต่อกันให้ได้ ซึ่งจังหวะนี้เราจะมีโอกาสชนะมาถึง 25% กันเลยทีเดียว

หลังจากผ่าน 2 ตาแรก ไม่ว่าจะแพ้ตาที่ 3 หรือ 4 ก็ยังคงเหลือกำไรอยู่ 2 หน่วยเสมอ เพียงแต่การเล่น 2 ตาสุดท้ายก็เพื่อหาโอกาสทำกำไรแบบทวีคูณ หากชนะในตาสุดท้ายก็จะได้รับกำไรมากถึง 10 หน่วยกันเลยทีเดียว

เห็นกำไรงามในช่วงท้ายกันอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งรีบดีใจกันไป เพราะว่าในแต่ละตาโอกาสชนะของเราจะหายไปมากถึง 50% ของก่อนหน้านี้ อย่างตาที่ 1 เริ่มต้นที่ 50% ตาที่ 4 ก็จะเหลือแค่ 6.25% ดังนั้นต้องตัดสินใจให้ดีว่าพร้อมที่จะรับความเสี่ยงหรือไม่ บริหารจัดการเงินทุนให้ดีว่าจะแบ่งไม้ละกี่บาทเพื่อให้จบเกมไวและได้กำไรคุ้มค่าที่สุด

จังหวะไหนที่ควรใช้กลยุทธ์ 1324

การใช้กลยุทธ์นี้ไม่ใช่ว่าเข้าไปเล่นแล้วจะใช้สูตรกันได้เลย โดยเฉพาสูตรนี้อย่างน้อยก็ควรจะให้มีจังหวะที่ชนะติดกันสักสองสามครั้งก็ยังดี หรือชนะมาเยอะ นาน ๆ แพ้ที สูตรจะให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ๆ ช่วยทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากแพ้ ชนะ สลับกันไปแบบนี้โดยที่จำนวนแพ้มากกว่า หรือว่าแพ้ติด ๆ กัน การวางเดิมพันแบบไม่ใช้สูตรจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า

จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ 1324 นั้นมีความเสี่ยงที่ต่ำมาก เหมาะที่จะใช้เล่นกับเกมพนันแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นบาคาร่า, เสือมังกร, ไฮโล, รูเล็ต แต่มีข้อจำกัดตรงที่ต้องวางเดิมพันในตำแหน่งที่มีโอกาสแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่งหรือที่มีอัตราจ่ายเพียง 1 เท่าของทุน ถึงจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด อย่างไรก็ตามการทำกำไรด้วยกลยุทธ์นี้จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เล่นตามแผน อย่าลืมว่ายิ่งเล่นนานค่า House Edge ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำกำไรกันได้แล้ว

เสือมังกร ไพ่พี่น้องของบาคาร่า

ไพ่เสือมังกรนั้นจะมีความคล้ายกับไพ่บาคาร่ามาก ๆ ใช้ไพ่หลายสำรับเล่นเหมือนกัน มีการเลือกฝั่งเดิมพันเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ เสือมังกร ใช้ไพ่แค่ใบเดียวในการตัดสินผลแต่ละเกม ไม่มีการเรียกไพ่เพิ่มเหมือนกับไพ่บาคาร่า จึงใช้เวลาเล่นน้อยกว่า

สาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่สับสนคิดว่าไพ่สองชนิดนี้คือตัวเดียวกันก็คือการวางเดิมพัน เนื่องจากเราต้องเลือกว่าจะแทงฝั่งไหนระหว่าง เสือ กับมังกร ตรงนี้จะคล้ายกับบาคาร่าที่มีเจ้ามือกับผู้เล่น ฝั่งไหนที่มีแต้มมากกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ อัตราความเสี่ยงที่จะแพ้หรือชนะอยู่ที่ 50 / 50 จึงทำให้ไพ่นี้เป็นอีกไพ่ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้บาคาร่า

เสือมังกรเล่นอย่างไร

การเล่นเสือมังกรในแต่ละตาจะมีเวลาให้วางเดิมพันประมาณ 15-40 วินาที ขึ้นอยู่กับว่าโต๊ะหรือคาสิโนออนไลน์จะกำหนดไว้อย่างไร ซึ่งเดิมพันที่วางไปสามารถเลือกได้ว่า เสือชนะ (Tiger), มังกรชนะ Dragon) หรือ เสมอ (Tie) แต่บางโต๊ะบางเว็บอาจมีตัวเลือกให้วางเดิมพันมากกว่านี้ เมื่อหมดเวลาดีลเลอร์จะปิดรับเดิมพันและทำการแจกไพ่ให้ฝั่งละ 1 ใบ

เมื่อแจกไพ่เสร็จแล้ว ดีลเลอร์จะเปิดไพ่เพื่อวัดแต้ม ฝั่งไหนที่มีแต้มสูงกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ หากมีผลเท่ากันถือว่าเสมอ กรณีที่วางเดิมพันฝั่งเสือ หรือมังกร แล้วผลออกมาเสมอ จะเสียเดิมพันครึ่งหนึ่ง เช่น แทงมังกรชนะ 20 บาท ผลคือเสมอ เราจะได้รับเดิมพันคืนแค่ 10 บาท ส่วนอีก 10 บาทเสียให้กับคาสิโน

รูปแบบเดิมพันและอัตราจ่าย

แม้ว่าบางเว็บจะมีรูปแบบการวางเดิมพันของเสือมังกรที่หลากหลาย แต่เราจะมาดูอัตราจ่ายมาตรฐานสำหรับการเดิมพันทั้ง 3 รูปแบบดังนี้

• หากแทง เสือ แล้วไพ่ฝั่งเสือมีมากกว่า ถือว่า เสือชนะ อัตราจ่ายคือ 1 เท่า
• หากแทง มังกร แล้วฝั่งมังกรมีแต้มสูงกว่า ถือว่า มังกรชนะ อัตราจ่ายคือ 1 เท่าเช่นกัน
• หากแทงเสมอ แล้วไพ่ทั้งสองฝั่งมีแต้มเท่ากัน ถือว่า เสมอ อัตราจ่ายคือ 8 เท่า

วิธีนับแต้มไพ่

การนับแต้ม เสือมังกร จะต่างจากบาคาร่า คือไพ่ทุกใบจะมีค่าดังนี้

• ไพ่ Ace มีค่า 1 แต้ม
• ไพ่ 2 – 10 มีค่าเท่ากับหมายเลขหน้าไพ่
• ไพ่ J มีค่า 11 แต้ม
• ไพ่ Q มีค่า 12 แต้ม
• ไพ่ K มีค่า 13 แต้ม

ส่วนดอกไพ่ (โพธิ์ดำ, โพธิ์แดง, ข้าวหลามตัด, ดอกจิก) จะไม่มีผลต่อขนาดไพ่ หากแต้มเดียวกันถือว่ามีค่าเท่ากัน

กฎเหล็กเสือมังกร

ในความง่ายความไวของไพ่เสือมังกรมันมีความอันตรายซ่อนอยู่ นั่นก็คือเมื่อใดก็ตามที่เราเล่นแบบใช้อารมณ์ เล่นกันอย่างไม่มีสติ แม้จะได้เงินไวแต่ก็ทำให้หมดตัวไวด้วยเล่นกัน แล้วยิ่งตัวเลือกในการวางเดิมพันน้อยยิ่งทำให้ไม่ต้องคิดอะไรมากว่าจะแทงอะไร ส่วนใหญ่มักจะวางเดิมพันไปแบบไม่มีกลยุทธ์ ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะนักเล่นมือใหม่

เพิ่มโอกาสทำกำไรด้วยสูตรเดินเงิน

เนื่องจากเสือมังกรเป็นเกมพนันที่ใช้เวลาเร็ว และมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้การทำกำไรในระยะสั้นนั้นไม่มากพอ ยิ่งเล่นหลายตาก็จะยิ่งทำให้เราเสียเปรียบคาสิโนมากขึ้น ดังนั้นการใช้สูตรเดินเงินแม้จะไม่ช่วยให้โอกาสชนะเพิ่มขึ้น แต่ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนได้ดีกว่า ลดความเสี่ยงที่จะหมดตัว โดยเฉพาะสูตรเดินเงิน Martingale ที่นักเดิมพันทั่วโลกต่างยกว่ามันคือสูตรที่ดีสำหรับเสือมังกร

แต่ก่อนจะใช้สูตรเดินเงิน สิ่งที่ต้องทำคือแบ่งเงินของเราออกเป็นหน่วยลงทุนเสียก่อน อาจจะแบ่งด้วยเดิมพันขั้นต่ำของโต๊ะก็ได้ สมมติว่าเราไปเจอโต๊ะที่วางเดิมพันขั้นต่ำ 10 บาท เรามีเงินอยู่ 1,000 บาท เราอาจจะแบ่งเป็นหน่วยละ 10 บาท มันก็จะทำให้เราเล่นโต๊ะนี้ได้มากถึง 100 ตา เป็นต้น ทีนี้เรามาดูกันว่า Martingale มีการทำงานอย่างไรกันครับ

เสียแค่ไหนก็ได้คืนด้วยสูตรมาร์ติงเกล

ใครที่ศึกษาสูตรเดินเงินมาบ้างน่าจะรู้จักสูตรเดินเงินมาร์ติงเกล บางทีอาจเรียกสูตรนี้ว่าสูตรแทงทบ หรือสูตร 5 ไม้ เป็นสูตรเดินเงินที่สามารถเอาไปใช้ได้กับทุกเกมพนันโดยเฉพาะ เสือมังกร ที่เป็นเกมคาสิโนสด หลักการใช้งานก็คือเราจะวางเดิมพันทั้งหมด 5 ครั้ง ต่อหนึ่งรอบการใช้สูตร โดยทุกครั้งที่แพ้ตาต่อไปจะเพิ่มเดิมพันเป็นหนึ่งเท่า เมื่อชนะจะทำให้ได้เงินที่เสียไปกลับมาพร้อมกำไรอีก 1 หน่วยเสมอ วิธีใช้ก็คือ

• ครั้งที่ 1 วางเดิมพัน 1 หน่วย ถ้าชนะถือว่าจบรอบสูตร ถ้าแพ้ไปครั้งที่ 2
• ครั้งที่ 2 วางเดิมพัน 2 หน่วย ถ้าชนะถือว่าจบรอบสูตร ถ้าแพ้ไปครั้งที่ 3
• ครั้งที่ 3 วางเดิมพัน 4 หน่วย ถ้าชนะถือว่าจบรอบสูตร ถ้าแพ้ไปครั้งที่ 4
• ครั้งที่ 4 วางเดิมพัน 8 หน่วย ถ้าชนะถือว่าจบรอบสูตร ถ้าแพ้ไปครั้งที่ 5
• ครั้งที่ 5 วางเดิมพัน 16 หน่วย ไม่ว่าแพ้หรือชนะถือว่าจบรอบสูตร

จากสูตรนี้ทุกครั้งที่จบรอบสูตร เราจะกลับไปเริ่มต้นครั้งที่ 1 เสมอ แต่เวลาเล่นอย่าลืมว่า เสือมังกร มันก็มีค่า House Edge หรือความได้เปรียบของคาสิโนอยู่ ยิ่งเล่นนานยิ่งมีโอกาสเสียมากขึ้น ดังนั้นเมื่อเราชนะก็ถือว่าได้กำไรมาแล้ว ก็ควรหยุดพักก่อนหรือเปลี่ยนโต๊ะก็ได้ แต่ถ้าเสียจะเห็นได้ว่าต้องมีการแทงทบไปเรื่อย ๆ หมายความว่าทุนเราก็จะต้องมีมากด้วย สมมติว่าเล่นตาละ 10 บาท หนึ่งรอบสูตรในกรณีที่แพ้หมดจะต้องใช้เงิน 10+20+40+80+160 = 310 บาท หากมีเงินน้อยเกินไปอาจทำให้เราทุนหมดเสียก่อนที่จะเล่นครบ 5 ครั้งได้เหมือนกัน

สูตรแทงทบ

ถ้าพูดถึงสูตรนี้เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักหรือเคยได้ยินกันอย่างแน่นอน เพราะว่าสูตรนี้มีหลักการง่าย ๆ คือเพิ่มเงินเดิมพันเข้าไป 1 เท่าของตาที่ผ่านมา แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าสูตรนี้มีแค่เอาไว้ใช้ทวงเงินที่เสียไปกลับคืนมาเท่านั้น ที่จริงแล้วมาร์ติงเกลถูกแยกย่อยออกเป็น 3 สูตรด้วยกัน โดยแต่ละสูตรจะมีวิธีใช้และวัตถุประสงค์ในการใช้ที่แตกต่างกันดังนี้

Martingale เป็นสูตรแทงทบที่คุ้นเคยกันดี วิธีใช้คือทบเดิมพันเข้าไป 1 เท่าของตาที่เสีย เช่น เสีย 10 บาท ตาต่อไปแทง 20 บาท ถ้าเสียอีกก็แทง 40 บาท จนกว่าจะชนะ แต่ต้องทบไม่เกิน 5 ตา ผลลัพธ์ที่ได้เวลาชนะก็คือเงินทุนที่เสียไปทั้งหมดจะได้กลับคืนมาพร้อมกับกำไรอีก 1 ตา

Super Martingale เป็นสูตรแทงทบที่พัฒนามาจาก Martingale แต่มีความโหดกว่าตรงที่มันสามารถดึงทุนพร้อมกับกำไรที่เสียไปทุกตากลับคืนได้หมดภายในการชนะเพียงครั้งเดียว โดยการใช้จะเหมือนกับ Martingale เพียงแต่การทบเดิมพันจะต้องบวกเข้าไปอีก 1 ไม้ เช่น เราเล่นไม้ละ 10 บาท แทงเสียตาแรก ตาต่อไปต้องทบ 30 (20+10) ถ้าเสียอีกก็ต้องทบตาต่อไป 70 (60+10) เป็นต้น ทำให้สูตรนี้ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้เพราะต้องมีทุนเยอะ และโอกาสที่จะทบจนชนเพดานโต๊ะมีสูงกว่า

Winning Martingale สูตรนี้จะทบเหมือนกัน แต่ว่าวิธีการจะตรงข้ามกับสองสูตรข้างต้น คือเราจะทบเฉพาะเวลาที่ชนะเท่านั้น โดยเอากำไรที่เล่นได้จากตาก่อนหน้ามาทบ ทำให้เวลาเสียก็เสียแค่ทุนตัวเอง 1 ไม้ กับกำไรที่ได้มาทั้งหมด ถือเป็นสูตรที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่สามารถทำกำไรได้สูง

สูตร 1324

สูตรนี้จะมีความซับซ้อนสักเล็กน้อย แต่มีข้อดีคือเล่นรอบน้อยกว่า และมีโอกาสทำกำไรมากกว่า ด้วยหลักการที่ว่าเล่น 4 ตา ขอแค่ชนะ 2 ตาแรก ตาที่เหลือต่อให้แพ้ก็ได้กำไร ยกตัวอย่างเช่น

ตาที่ 1 แทง 10 บาท ชนะ ได้ 10 บาท ถ้าแพ้ขาดทุน 10 บาท

ตาที่ 2 แทง 30 บาท (กำไร 10 + ทุน 20) ชนะ ได้ 30 บาท กำไรสะสม 40 บาท ถ้าแพ้ขาดทุน 20 บาท กับกำไรอีก 10 บาท

ตาที่ 3 แทง 20 บาท (ใช้กำไรจาก 2 รอบแรก) ชนะ ได้ 20 บาท กำไรสะสม 60 บาท ถ้าแพ้เหลือกำไร 20 บาท

ตาที่ 4 แทง 40 บาท (ใช้กำไรจาก 3 รอบแรก) ชนะ ได้ 40 บาท กำไรสะสม 100 บาท ถ้าแพ้เหลือกำไร 20 บาท

สูตร dAlembert

สูตรเดลองเบฟังแล้วอาจจะดูยาก แต่ความจริงก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย หลักการคิดการใช้สูตรนี้ก็คือ ถ้าแทงผิดหรือแพ้เราจะเพิ่มเดิมพันเข้าไปอีก 1 ไม้ แต่ถ้าแทงถูกจะลดลง 1 ไม้ ยกตัวอย่างเช่น

ตาที่ 1 แทง 10 บาท แพ้ เพิ่มเงินอีก 10 บาท

ตาที่ 2 แทง 20 บาท แพ้ เพิ่มเงินอีก 10 บาท

ตาที่ 3 แทง 30 บาท แพ้ เพิ่มเงินอีก 10 บาท

ตาที่ 4 แทง 40 บาท ชนะ ลดเงินลง 10 บาท

ตาที่ 5 แทง 30 บาท ชนะ ลดเงินลง 10 บาท

ตาที่ 6 แทง 20 บาท แพ้ เพิ่มเงินอีก 10 บาท

ตาที่ 7 แทง 30 บาท ชนะ ลดเงินลง 10 บาท

ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าได้กำไรหรือขาดทุนตามเป้าที่เราตั้งไว้

สูตร ปิงปอง

สูตรนี้จะแตกต่างจาก 3 สูตรแรกตรงที่เป็นสูตรวางเดิมพันโดยอาศัยเค้าไพ่ ส่วน 3 สูตรแรกเป็นสูตรเดินเงิน ทำให้สามารถเอามาใช้ควบคู่กันได้เพื่อเพิ่มโอกาสชนะและทำกำไรไปได้พร้อม ๆ กัน โดยหลักการของสูตรปิงปองจะคล้ายกับการแทงสวนผลของตาก่อนหน้า เพียงแต่จะใช้กับเค้าไพ่ที่ออกผลสลับไปมาฝั่งละ 1 ตา เช่น เจ้ามือ, ผู้เล่น, เจ้ามือ, ผู้เล่น หากเค้าไพ่ออกมาลักษณะนี้ให้เราแทงสวนตาล่าสุดไปได้เลย เช่น ตาสุดท้ายออกเจ้ามือ ตาต่อไปเราแทงผู้เล่น แต่ถ้าตาล่าสุดออกผู้เล่น เราก็แทงเจ้ามือเป็นต้น

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 4 สูตรอมตะที่เราเอามาฝากกัน ไม่ได้ยากอย่างที่คิดใช่ไหม แถมยังเอามาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามสูตรเหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัดตรงที่โต๊ะเดิมพันจะมีการจำกัดยอดสูงสุดที่เราสามารถลงเงินไว้ได้ ทำให้ต้องวางแผนการใช้งานให้ดี แต่ถ้าจะให้สบายใจ ใช้งานได้คล่อง ก็ลองไปทดลองเล่นฟรีกันก่อนได้ที่ KUBET มีเกมคาสิโนมากมายให้ได้ลองเล่น พร้อมกับเครดิตฟรีที่จะช่วยฝึกการใช้สูตรเดินเงินให้คล่องมากกว่าเดิม เพิ่มโอกาสทำกำไรได้ในระยะยาวกันอีกด้วย

อันที่จริงแล้วบาคาร่าเป็นเกมพนันที่มีสูตรการเล่นและสูตรเดินเงินเยอะมาก ๆ เพื่อที่จะเอามาช่วยเพิ่มโอกาสเอาชนะและทำกำไรให้ได้มากขึ้น หลัก ๆ สูตรบาคาร่า ที่นิยมใช้ก็จะมี สูตรบาคาร่าเป่าจินจง, สูตรบาคาร่าคู่คี่ และสูตรบาคาร่าแพ็คเกจรวม 4 สูตร ซึ่งสูตรเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ร่วมกับสูตรเดินเงินด้วยเพื่อจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ส่วนใหญ่ก็จะใช้สูตรเดินเงินมาร์ติงเกล กับสูตรเดินเงินฟิโบนัชชี เราไปดูกันดีกว่าครับว่าแต่ละสูตรมันเป็นยังไง

สูตรบาคาร่า เป่าจินจง

หากคุณเป็นคนที่อ่านเค้าไพ่ไม่เก่ง จับทางไพ่ไม่ได้ สูตรนี้สามารถช่วยได้แน่ ๆ แค่ดูไพ่ที่ถูกเปิดขึ้นของแต่ละฝั่งเท่านั้น เงื่อนไขการใช้สูตรก็มีแค่ 2 ข้อ คือ

• ถ้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งชนะด้วยไพ่ 2 ใบ ตาต่อไปให้วางเดิมพันฝั่งผู้เล่นหรือ Player โดยไม่ต้องไปสนใจว่าจะชนะกันด้วยกี่แต้ม หรือว่าชนะด้วยไพ่ดอกอะไร สีอะไร แต้มห่างกันแค่ไหน จำไว้แค่ว่าถ้าชนะด้วยไพ่ 2 ใบให้แทงผู้เล่นก็พอ
• ถ้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งชนะด้วยไพ่ 3 ใบ ตาต่อไปให้วางเดิมพันฝั่งเจ้ามือหรือ Banker เช่นเดิมเราไม่ต้องไปกังวลว่าแต้มที่ชนะกันนั้นจะห่างกันมากน้อยแค่ไหน ชนะด้วยแต้มคู่หรือคี่ ชนะด้วยไพ่คู่ไหม เอาง่าย ๆ ถ้าชนะด้วยไพ่ 3 ใบ ตาต่อไปแทงเจ้ามือเลย

อย่างไรก็ตามสูตรนี้ก็มีความเคลื่อนได้เหมือนกัน การใช้สูตรเดินเงินเข้าช่วยจะทำให้สูตรบาคาร่านี้ได้ผลดียิ่งขึ้น

สูตรบาคาร่า คู่-คี่

แม้ว่าจะต้องดูเค้าไพ่แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะเราดูแค่ 4 ตาสุดท้ายเท่านั้นว่าออกเป็นคู่ หรือคี่ สำหรับวิธีดูเค้าไพ่มีดังนี้

• เค้าไพ่คู่ ให้จับคู่สีว่าใน 4 ตาสุดท้ายมันได้คู่กันหรือไม่ ถ้าออก แดง-แดง-น้ำเงิน-น้ำเงิน แบบนี้เรียกว่าไพ่คู่ ตาต่อไปให้แทงแดง เพื่อให้เป็นเค้าไพ่คู่เหมือนเดิมคือ แดง-น้ำเงิน-น้ำเงิน-แดง หากนึกภาพไม่ออกให้ดูรูปต่อไปนี้ นี่คือเค้าไพ่คู่ที่กำลังพูดถึง

• เค้าไพ่คี่ ให้จับคู่สีจากการออกไพ่ใน 4 ตาสุดท้ายเหมือนเดิมว่ามีเศษหรือไม่ หากมีเศษหรือไม่ลงตัวถือว่าเป็นไพ่คี่ เช่น แดง-แดง-แดง-น้ำเงิน อันนี้เป็นเค้าไพ่คี่ ตาต่อไปแทง แดง เพื่อให้เป็นเค้าไพ่คี่เหมือนเดิมก็จะได้ แดง-แดง-น้ำเงิน-แดง เป็นต้น ตามรูปข้างล่าง

                ปกติแล้วการออกเค้าไพ่คู่-คี่ มักจะออกติดกันประมาณ 5-6 ตา ถึงจะเปลี่ยน ดังนั้นหากชนะหรือว่าได้กำไรพอควรแล้วก็ให้หยุดเล่น ไม่ก็เปลี่ยนห้องจะดีที่สุด แน่นอนว่าการใช้สูตรเดินเงินเข้าช่วยจะทำให้การทำกำไรในแต่ละห้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สูตรบาคาร่า แพ็คเกจรวม 4 สูตร

สูตรนี้เป็นการดูเค้าไพ่เป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 แบบด้วยกัน แต่ละแบบก็จะมีวิธีแทงที่แตกต่างกันไปดังนี้

• เค้าไพ่แบบออกติด ให้ดูการออกไพ่ 2 ตาสุดท้ายว่าออกเป็นสีเดียวกันหรือไม่ ถ้าเป็นสีเดียวกันตาต่อไปให้แทงสีนั้นได้เลย
• เค้าไพ่แบบออกสลับ ให้ดูการออกไพ่ 3 ตาสุดท้ายว่าสลับกันหรือไม่ ถ้าออกสลับกัน ตาต่อไปให้แทงฝั่งตรงข้ามของตาสุดท้าย
• เค้าไพ่แบบติดสองสลับหนึ่ง หรือเค้าไพ่ 2-1 ให้ดูการออกไพ่ 3 ตาสุดท้าย ถ้าออกสีเดียวกัน 2 ตา และตาสุดท้ายเป็นอีกสี ให้แทงฝั่งตรงข้ามของตาสุดท้าย
• เค้าไพ่แบบ 2-2-2 ให้ดูการออกไพ่ 4 ครั้งสุดท้าย ถ้าออกสีเดียวกัน 2 ครั้ง และสลับมาออกอีกสี 2 ตาติด ตาต่อไปให้แทงฝั่งตรงข้ามกับสองตาสุดท้ายได้เลย

การใช้ สูตรบาคาร่า แพ็คเกจรวม 4 สูตร จะต้องคอยอ่านเค้าไพ่อยู่ตลอดเพราะสูตรสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามเค้าไพ่ ถือว่าเป็นสูตรที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด และเหมือนเดิมหากเล่นได้กำไรสัก 10-30% ของทุนก็ควรพอ ไม่ก็เปลี่ยนห้องจะดีที่สุด

สูตรเดินเงินคืออะไร สูตรไหนที่นิยมใช้กันบ้าง

สูตรเดินเงินก็คือสูตรที่จะช่วยให้ทำกำไรได้มากขึ้นในการวางเดิมพัน รวมไปถึงใช้แก้สถานการณ์หรือที่เรียกว่าถอนทุน แต่ไม่สามารถช่วยให้มีโอกาสชนะมากขึ้น ส่วนสูตรที่นิยมใช้กันก็มี

สูตรเดินเงินมาร์ติงเกล

รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งก็คือ สูตรแทงทบ เงื่อนไขของสูตรนี้มีแค่ 2 ข้อ คือ

• เพิ่มเดิมพันเป็นสองเท่าทุกครั้งที่แทงเสีย
• กลับมาวางเดิมพัน 1 หน่วยทุกครั้งที่ชนะ

สิ่งที่จะได้รับจากสูตรนี้ก็คือ เราจะได้รับเงินที่เสียไปกลับคืนมาทั้งหมดพร้อมกับกำไรอีกหนึ่งด้วย แต่ก็ต้องระวังด้วยเพราะสูตรจำเป็นต้องใช้เงินมากในการทบ และควรจะเล่นแบบแทงฝั่งเดียวไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชนะ

สูตรเดินเงินฟิโบนัชชี

สูตรนี้ค่อนข้างละเอียดมาก เวลาใช้จำเป็นต้องมีการจดลำดับการวางเดิมพันไว้ก่อนว่า สเต็ปที่ 1 วางกี่หน่วย สเต็ปที่ 2 วางกี่หน่วย ส่วนเงื่อนไขการใช้ก็คือ

• ถ้าแพ้ให้เดินหน้าไปอีก 1 สเต็ป
• ถ้าชนะให้ถอยหลังมา 2 สเต็ป

ยกตัวอย่างเช่น กำหนดไว้ว่า สเต็ปที่ 1 วาง 1 หน่วย, สเต็ปที่ 2 วาง 2 หน่วย, …, สเต็ปที่ 7 วาง 7 หน่วย ถ้าหากว่าเราชนะในสเต็ปที่ 1 ก็ไม่จำเป็นต้องวนไปวางเดิมพันในสเต็ปที่ 6 เพราะมันทำให้เสี่ยงที่จะเสียทุนจำนวนมาก

สรุปก็คือการที่จะเอาชนะคาสิโนหรือว่าทำกำไรจากการเล่นบาคาร่าให้ได้มาก ๆ นั้น ควรเลือกสูตรบาคาร่าและสูตรเดินเงินที่คิดว่าเราเข้าใจมันมากที่สุดจะดีกว่า เพราะสูตรที่ดีที่สุดคือสูตรที่เราเข้าใจที่สุด ตรงกันข้ามหากไปเลือกสูตรที่เขาอวยกันว่าดีที่สุดแต่เราไม่เข้าใจ มันจะกลายเป็นสูตรที่แย่จนทำให้เราหมดตัวได้เหมือนกัน