การนับไพ่ เป็นทักษะที่ผู้เล่น Blackjack สามารถนํามาใช้ประโยชน์ในการคํานวณความน่าจะเป็นทางสถิติของไพ่ที่เหลืออยู่ในสํารับ เพื่อนําไปสู่การใช้กลยุทธ์ขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะบ้านได้ในระยะยาว

นิยามการนับไพ่

ก่อนเริ่มลงรายละเอียด ผู้ที่เริ่มต้นเข้ามาสนใจเรื่องการนับไพ่มักเข้าใจผิดคิดว่านับไพ่คือการจําไพ่ที่ออกมาทีละใบ ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยากเกินไปสําหรับสมองของคนทั่วไป ซึ่งความเป็นจริงแล้วการนับไพ่มีความซับซ้อนน้อยกว่านั้น

การนับไพ่ คือการติดตามการแจกไพ่ที่ออกมาจากสํารับ เพื่อประเมินหาความเข้มข้นของไพ่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เล่น เมื่อพบว่ามีไพ่ดีๆ เหลืออยู่ในสํารับมาก ก็จะเป็นสัญญาณให้เพิ่มวงเงินเดิมพันขึ้น แม้ว่าการนับไพ่จะช่วยลดขอบเขตของบ้านได้ในระยะยาว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทําให้ชนะได้ทุกครั้ง เนื่องจากยังต้องอาศัยโชคอยู่ดี นอกจากนั้น สิ่งสําคัญกว่าการนับไพ่คือต้องปฏิบัติตามกลยุทธ์พื้นฐานอย่างเคร่งครัด ซึ่งหากไม่สามารถเล่นได้อย่างถูกต้องแล้ว การนับไพ่ก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ประสิทธิภาพการนับไพ่

การนับไพ่จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเล่น Blackjack ที่สํารับมีไพ่น้อยลง เช่น ใช้สํารับเดี่ยว (single deck) ซึ่งหากมีไพ่เอซ (Ace) ตกไป 1 ใบ จากสํารับเดียว จะมีผลต่อความน่าจะเป็นสูงมาก เมื่อเทียบกับการใช้สํารับ 8 สํารับ ซึ่งจะยังมีไพ่เอซเหลืออยู่มากถึง 31 ใบ แทบไม่มีผลต่อความน่าจะเป็นเลย และสิ่งสําคัญการนับไพ่ไม่สามารถทําได้ใน Blackjack ออนไลน์ที่ใช้ RNG เนื่องจากซอฟต์แวร์จะสุ่มไพ่ในแต่ละมือโดยสิ้นเชิง ทําให้การนับไพ่ไร้ประโยชน์ สําหรับ แบล็คแจ็คสดจากดีลเลอร์สาวสวยล่ะ?

กฎหมายเกี่ยวกับการนับไพ่

การนับไพ่ถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีความเข้าใจผิดอย่างแพร่หลาย โดยการนับไพ่ไม่ผิดกฎหมาย แม้แต่ในลาสเวกัสหรือแอตแลนติกซิตี้ ศาลฎีการัฐนิวเจอร์ซีย์ได้ตัดสินในเรื่องนี้ไปแล้ว และกฎหมายของรัฐเนวาดาก็ระบุชัดเจนว่าการนับไพ่ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด

แม้ว่าการนับไพ่จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคาสิโนจะยอมให้คุณทําได้อย่างอิสระ เมื่อพบว่ามีผู้เล่นนับไพ่ คาสิโนอาจขอให้ออกจากรายการ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าเป็นผู้เล่นเงินต่ํา ดื่มด่ําสนุกสนานไปด้วย ไม่ก่อปัญหาอะไร ก็อาจจะได้รับอนุญาตให้นั่งต่อ แต่ถ้าเป็นลูกค้าระดับ VIP เดิมพันเป็นหลักหมื่นหรือแสน ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่คาสิโนจะไม่อนุญาตให้ทําต่อไปแน่นอน

วิธีการนับไพ่

วิธีการนับไพ่มีหลากหลาย ทั้ง Wong Halves, Red 7, Hi-Lo และ KnockOut เป็นต้น แต่ละระบบก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งสําคัญร่วมกันคือ:

• แต่ละใบไพ่จะถูกกําหนดค่านับเป็นตัวเลข
• ตัวเลขเหล่านี้จะถูกใช้ในการติดตาม “ผลรวมการนับปัจจุบัน”
• ผลรวมการนับนี้จะถูกแปลงให้เป็น**”ผลนับจริง”**
• ผลนับจริง เป็นตัวบอกให้เราปรับขนาดการเดิมพัน
• ต้องปฏิบัติตามกลยุทธ์พื้นฐาน Blackjack อย่างเคร่งครัดเสมอ

เมื่อไรควรนับไพ่

คําตอบคือ ตลอดเวลา! ในการนับไพ่ ผู้เล่นจําเป็นต้องติดตามทุกใบไพ่ที่ถูกแจกออกมา ซึ่งรวมถึงไพ่ของดีลเลอร์ และผู้เล่นคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่บนโต๊ะ และไม่ใช่แค่มือเดียว แต่ทุกมือที่ถูกแจกในสํารับนั้น จนกว่าสํารับจะหมดลงและถูกสับใหม่ นับไพ่เป็นทักษะที่ต้องอาศัย สมาธิ อดทน และฝึกฝน ไม่ใช่เรื่องสนุกสนานเหมือนการเล่นแบล็คแจ็คทั่วไป แต่เปรียบเสมือนอาชีพหนึ่งที่ผู้เล่นต้องทําอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

การนับไพ่แบบ Running Count

หลังจากได้ทําความเข้าใจพื้นฐานของการนับไพ่แล้ว เราลองมาดูรายละเอียดของระบบ Hi-Lo ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด สําหรับ Hi-Lo นั้นไพ่แต่ละใบจะได้รับการกําหนดค่านับดังนี้

• ไพ่ A – 10 ได้ค่า -1
• ไพ่ 9 – 7 ได้ค่า 0
• ไพ่ 6 – 2 ได้ค่า +1

ยกตัวอย่างเช่น ที่โต๊ะมีคุณเป็นผู้เล่นคนหนึ่ง พร้อมผู้เล่นอีก 1 คน และดีลเลอร์ 1 คน สําหรับมือแรกของสํารับ คุณได้รับ ไพ่ Ace กับ King สําหรับแบล็คแจ็ค ผู้เล่นคนอื่นได้ King และ Queen สําหรับ 20 ดีลเลอร์เปิดไพ่หงาย คือ 3 แล้วดึงอีก 1 ใบได้ 6 รวมเป็น 19

ยินดีด้วยกับแบล็คแจ็คครับ! พร้อมกันนี้ ผลรวมการนับของเราคือเท่าไร? ถ้าคุณตอบ -4 ถือว่าตอบถูกต้อง จากการเห็นไพ่ Ace, King 3 ใบ, Queen 1 ใบ (-5) รวมกับไพ่ 3 (+1) และ 6 (0) รวมกันเป็น -4 นั่นเอง

ซึ่งผลรวมนี้ เรียกว่า Running Count บอกให้รู้ถึงสถานะของสํารับในขณะนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถนําไปใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น เราจําเป็นต้องนํา Running Count ไปผ่านกระบวนการแปลงค่า เพื่อให้ได้ True Count ออกมา ซึ่ง True Count นี่แหละ คือตัวบอกให้เราปรับเงินเดิมพัน

การนับไพ่แบบ True Count

เราได้ทําความเข้าใจกับ Running Count ไปแล้ว ทําไมไม่นํามาใช้เลย แทนที่จะต้องมาแปลงเป็น True Count? คําถามนี้อาจผุดขึ้นในใจหลายคน

ข้อจํากัดของ Running Count คือ ให้ภาพรวมของสถานะสํารับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับการเล่นด้วยสํารับเดียว การเอาไพ่ Ace ออกไป 1 ใบจะมีนัยสําคัญมาก แต่เมื่อเล่นด้วยสํารับ 8 สํารับ การเอา Ace ออกไปหรือไม่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่

นั่นคือเหตุผลที่จําเป็นต้องแปลง Running Count ให้เป็น True Count ซึ่งสูตรในการแปลงจะแตกต่างกันไปในแต่ละระบบ โดยจุดประสงค์หลักคือเพื่อปรับผลนับให้สอดคล้องกับจํานวนสํารับที่ใช้เล่น เมื่อได้ True Count จึงจะสามารถนํามาใช้ในการตัดสินใจเดิมพันอย่างเหมาะสม

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อ True Count มีค่าติดลบ แสดงว่าสํารับไม่เอื้ออํานวยต่อผู้เล่น ควรเดิมพันต่ําลงหรืออาจจะพักไปก่อน ในทางกลับกัน ถ้า True Count มีค่าสูงมากๆ แสดงว่ามีความเข้มข้นของไพ่ดีๆ สูง ถึงเวลาที่จะเพิ่มเงินเดิมพันและกดดันบ้านมากขึ้นแล้ว

การปรับเงินเดิมพันตามผลการนับไพ่

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า เราสามารถนํา True Count ไปใช้ในการปรับเงินเดิมพัน โดยปกติแล้วสําหรับมือธรรมดาทั่วไปที่ True Count เป็นลบหรือเป็นศูนย์ เราจะเดิมพันขั้นต่ํา คือ 100 บาทต่อมือ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามค่า True Count ที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

• True Count 0 ถึง 1 : เดิมพัน 100 บาท
• True Count 1 ถึง 2 : เดิมพัน 200 บาท
• True Count 3 ขึ้นไป : เดิมพัน 300 บาท

เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนนี้สามารถปรับได้ตามความเหมาะสมกับเงินทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล จุดประสงค์หลักคือเราต้องการเดิมพันสูงในจังหวะที่ดี และถอยทัพในจังหวะที่ไม่ดี

ไม่สามารถนับไพ่ในเกมโป๊กเกอร์ได้

สําหรับเกมโป๊กเกอร์ การนับไพ่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผู้เล่นสามารถคํานวณอัตราต่อ เพื่อหาอัตราต่อรองที่จําเป็นสําหรับการ draw ได้ เช่น ถ้าคุณกําลังไล่สูงมือ ไล่ flush ก็ต้องคํานวณหาไพ่ out ที่เหลือ เพื่อประเมินโอกาสที่จะได้สูงมือ นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถนับจํานวน blockers ในมือตนเองได้อีกด้วย Blockers คือไพ่ที่ทําให้คู่แข่งมีโอกาสจะถือครองมือสูงมือใดสูงมือหนึ่งลดลงหรือเป็นไปไม่ได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการนับไพ่ในความหมายของเกมแบล็คแจ็คได้

ดังนั้นสรุปได้ว่าการนับไพ่ไม่สามารถทําได้ในเกมโป๊กเกอร์ เป็นเพียงแนวคิดที่มีอยู่ในโลกของแบล็คแจ็คเท่านั้น

สรุป

ในภาพรวม การนับไพ่เป็นวิธีการเล่นแบล็คแจ็คที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าจะต้องอาศัยทักษะและความชํานาญสูง แต่หากใช้ระบบที่ถูกต้อง จะช่วยเปลี่ยนแบล็คแจ็คจากเกมที่บ้านมีอัตราต่อรองเหนือกว่า ให้กลายเป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถทํากําไรได้ในระยะยาว ดังนั้นผู้ที่สนใจและพร้อมจะฝึกฝนอย่างหนัก ลองเริ่มศึกษาและทดลองนับไพ่ดูสักระบบหนึ่ง เพื่อเป็นการเริ่มต้นเล่นแบล็คแจ็คในแบบฉบับมืออาชีพกันได้แล้ว

บทความนี้จะพาท่านไปสํารวจประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบล็คแจ็ค ตั้งแต่เกมไพ่เล็กๆ ในฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า Vingt-et-un กระทั่งก้าวมาสู่ KUBET ผู้นําด้านแบล็คแจ็คออนไลน์ที่รวบรวมความทันสมัยและความเป็นตํานานไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

จุดกําเนิดของตํานาน – ย้อนรอยแบล็คแจ็คจากเกม Vingt-et-un

ประวัติศาสตร์ของเกมแบล็คแจ็คพบว่ามีหลักฐานถึงเกมชื่อ Vingt-et-un (แปลว่ายี่สิบเอ็ด) ซึ่งเล่นกันอยู่ในประเทศฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 โดยหลักการของเกมคือการทอยไพ่ให้ได้คะแนนใกล้เคียง 21 มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของเกมที่แปลว่ายี่สิบเอ็ด

กติกาหลายอย่างของเกม Vingt-et-un ถูกสืบเนื่องมาจากเกมไพ่อีกเกมหนึ่งของฝรั่งเศสในสมัยนั้นชื่อ chemin de fer (แปลว่าเรือเหล็ก) อันเป็นเกมที่มีวัตถุประสงค์คล้ายกับเกมบาคาร่าที่ให้ผู้เล่นทอยไพ่ให้ได้ 9 คะแนน ซึ่งถือเป็นเกมที่ได้รับความนิยมในยุโรปในสมัยนั้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ในประเทศสเปนก็มีเกม Trente-Un (แปลว่าสามสิบเอ็ด) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้คะแนนเท่ากับ 31 ในขณะที่ประเทศอิตาลีมีเกม sette e mezzo (แปลว่าเจ็ดครึ่ง) ซึ่งเป็นอีกเกมหนึ่งที่มีลักษณะให้ผู้เล่นทอยไพ่ให้ได้คะแนนรวมที่กําหนด

อิทธิพลเกมไพ่ฝรั่งเศสโบราณ

เมื่อชาวยุโรปออกเดินทางสํารวจและตั้งอาณานิคมในดินแดนใหม่ๆ พวกเขาก็ได้นําเกม Vingt-et-un ติดตัวไปด้วย โดยเฉพาะในแถบอาณานิคมของฝรั่งเศสในอเมริกาเหนือราวปลายศตวรรษที่ 17 เช่นในบริเวณที่ปัจจุบันคือนิวออร์ลีนส์ ที่ซึ่งเหล่าทหารและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวฝรั่งเศสได้เล่นเกมดังกล่าวในเวลาว่าง

โดยในขณะนั้น เกม Vingt-et-un ยังเป็นเพียงเกมไพ่เล็กๆ ที่เล่นสนุกสนานกันในหมู่ชุมชน และจากอาณานิคมฝรั่งเศสแห่งนี้เองที่เกมไพ่ Vingt-et-un ก็เริ่มมีวิวัฒนาการภายใต้วัฒนธรรมอเมริกันจนกลายมาเป็นเกมแบล็คแจ็คในเวลาต่อมา

การเดินทางข้ามมหาสมุทรของแบล็คแจ็ค

ในระหว่างที่วัฒนธรรมอเมริกันกําลังซึมซับและดัดแปลงเกม Vingt-et-un ให้เข้ากับสังคมของตนเอง เกมไพ่ดังกล่าวได้รับความสนใจในเขตเมืองนิวออร์ลีนส์ และโดยเฉพาะ เอเลนอร์ ดูมง หญิงดีลเลอร์ฝีมือดีชาวฝรั่งเศสที่เดินทางไปตามจุดต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเพื่อเล่นไพ่ให้ผู้คนชม ต่อมาเกม Vingt-et-un จึงเริ่มมีการปรับเปลี่ยนชื่อเป็น 21

ทีนี้มาถึงคําถามว่า เกม 21 ได้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Blackjack มาจากไหน เรื่องราวว่ามีโต๊ะพนันในคาสิโนเริ่มมีการให้รางวัลเป็นเงินสดจํานวน 10 เท่าของเงินเดิมพันในมือที่ได้ไพ่ 2 ใบแรกเป็นแจ็คดํา (J หรือ J ) กับ A ผสมกัน แล้วเรียกมือนี้ว่า “แบล็คแจ็ค” (Black Jack) ซึ่งที่มานี้เอง ชื่อของเกมจึงถูกเรียกว่า แบล็คแจ็ค และชื่อนี้ก็ยังคงใช้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าการให้รางวัลพิเศษเช่นนั้นจะไม่เป็นที่นิยมแล้วก็ตาม

แบล็คแจ็คฉบับมาตรฐานโลก

ในที่สุด ในปี 1931 สภานิติบัญญัติแห่งรัฐเนวาดาก็ผ่านกฎหมายให้การพนันเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญที่ทําให้ลาสเวกัสกลายเป็นเมืองคาสิโนระดับโลก

คาสิโนในลาสเวกัสได้มีบทบาทสําคัญในการกําหนดกติกามาตรฐานของเกมแบล็คแจ็คในรูปแบบสมัยใหม่ เช่น จํานวนไพ่สํารับที่ใช้ กติกาการแจกไพ่ให้ผู้เล่นและเจ้ามือ ตลอดจนกลยุทธ์ต่างๆ ในการเล่น ที่ยึดถือกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้น คาสิโนลาสเวกัสยังได้ส่งออกแบล็คแจ็คกลับไปยังทวีปยุโรปซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเกม และแพร่หลายไปจนถึงตลาดเอเชียด้วยเช่นกัน จนทําให้ในปัจจุบันแบล็คแจ็คเป็นเกมคาสิโนที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

ดังนั้น จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเกม Vingt-et-un ในฝรั่งเศส จนมาถึงการแพร่กระจายไปทั่วโลกในชื่อแบล็คแจ็ค จึงนับเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 300 ปี ที่สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมอย่างต่อเนื่องของเกมไพ่เกมนี้

กระแสความนิยมแบล็คแจ็คไม่มีวันหมด

ากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า แบล็คแจ็คเป็นเกมที่มีการเล่นสืบทอดกันมาอย่างยาวนานนับสามร้อยปี ซึ่งเป็นผลจากการแพร่กระจายผ่านการอพยพและการค้าขายระหว่างประเทศในอดีต ถึงแม้ว่าในปัจจุบันความนิยมของคาสิโนบนบกจะลดน้อยถอยลง แต่ความนิยมในการเล่นแบล็คแจ็คออนไลน์กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากความสะดวกสบายในการเข้าถึงผ่านอุปกรณ์สื่อสารและอินเทอร์เน็ต

การเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลจึงทําให้แบล็คแจ็คกลายเป็นเกมคาสิโนที่ได้รับความนิยมสูงสุดอันดับ 1-2 ของโลกในปัจจุบัน มีการพนันแบล็คแจ็คออนไลน์เป็นมูลค่านับหมื่นล้านบาททุกปี แสดงให้เห็นถึงความนิยมอย่างแพร่หลายของเกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนี้

วิวัฒนาการไม่หยุดนิ่ง

เนื่องจากแบล็คแจ็คเป็นเกมไพ่ที่มีกติกาตายตัว จึงทําให้ผู้พัฒนาเกมต้องคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้เกมมีความท้าทายและน่าสนใจมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น แบล็คแจ็ค Atlantic City Blackjack, European Blackjack, Spanish 21, Double Exposure และ Perfect Pairs เป็นต้น ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีกติกาเพิ่มเติมที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินพิเศษสําหรับมือพิเศษ, การเพิ่มตัวเลือกในการเดิมพัน, การเปลี่ยนแปลงจํานวนไพ่สํารับ เป็นต้น เพื่อดึงดูดให้นักพนันเข้ามาลองเล่นรูปแบบใหม่ๆ เหล่านี้

ผู้ให้บริการคาสิโนออนไลน์ต่างๆ ก็พยายามคิดค้นเกมแบล็คแจ็ครูปแบบใหม่ๆออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของนักพนันที่ต้องการความท้าทายและความสนุกใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงมั่นใจได้ว่าแบล็คแจ็คจะยังคงมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ในอนาคต

หลากหลายกติกา จุดเด่นความแตกต่างแบล็คแจ็คแต่ละคาสิโน

กติกามาตรฐานของแบล็คแจ็คในปัจจุบันนั้นมีที่มาจากคาสิโนลาสเวกัสตามที่อธิบายไปแล้ว แต่เนื่องจากแบล็คแจ็คมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 300 ปี และมีวัฒนธรรมผสมผสานหลายๆ อย่าง จึงทําให้ในปัจจุบัน ยังมีกติกาเฉพาะของแต่ละคาสิโนออนไลน์หรือบ่อนคาสิโนบนบกในแต่ละพื้นที่ ที่อาจจะแตกต่างออกไปจากกติกามาตรฐาน เช่น กติกาของแบล็คแจ็คในยุโรปหรือเอเชีย ดังนั้น ผู้เล่นจึงควรศึกษากติกาให้เข้าใจก่อนเริ่มเล่นในแต่ละคาสิโน เพราะอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งอาจส่งผลต่อกลยุทธ์และโอกาสในการชนะ

เทคโนโลยีล้ําสมัยจะต่อยอดอนาคตแบล็คแจ็ค

นอกเหนือจากการคิดค้นรูปแบบเกมใหม่ๆ แล้ว เทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ก็จะมีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้แบล็คแจ็คมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เช่น เทคโนโลยีความจริงเสมือน (VR) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยเพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับการเล่นแบล็คแจ็คออนไลน์ในอนาคต ทําให้ผู้เล่นรู้สึกเสมือนว่านั่งอยู่ที่โต๊ะจริงๆ ในคาสิโนระดับโลก

นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ก็อาจจะเป็นไปได้ในอนาคต เพื่อให้ระบบการเล่นและการทําธุรกรรมต่างๆ มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

Juad888 คําตอบที่ดีที่สุดของคนรักแบล็คแจ็ค

สรุปแล้ว แบล็คแจ็คเป็นเกมที่ผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้น KUBET จึงเป็นทางเลือกที่ดีสําหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมไพ่แบล็คแจ็ค ทั้งยังมีโอกาสได้ลองรูปแบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายในอนาคตอันใกล้นี้

House Edge คืออะไร

หลายคนอาจไม่รู้ว่าทุกเกมพนันจะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าค่า House Edge อยู่เสมอ ค่านี้ถูกคำนวณโดยข้อมูลสถิติและหลักความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์ เพื่อที่จะบอกว่าในเกมนั้น ๆ คาสิโนจะมีความได้เปรียบมากน้อยแค่ไหนในระยะยาว เนื่องจากเกมพนันถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้ในระยะสั้น ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมยิ่งเล่นนานถึงยิ่งชนะน้อยลงและเสียมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เวลาชนะก็อยากได้อีก จึงไม่แปลกที่คาสิโนจะสามารถทำกำไรได้มหาศาลแม้ว่าจะมีคนชนะรางวัล Progressive Jackpot ก็ตาม

ส่วนค่า House Edge ในแต่ละเกมก็จะแตกต่างกันไป อย่างเกมสล็อตจะมีค่านี้มากถึง 25% ขณะที่รูเล็ตจะอยู่ประมาณ 2.5% เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้คนสนใจเล่นสล็อตมากกว่าก็เพราะว่าเล่นง่าย ไม่ต้องไปคิดอะไรเยอะ แถมยังมีลูกเล่นต่าง ๆ ที่น่าสนใจกว่าอีกด้วย ต่างจากรูเล็ตที่มีตำแหน่งวางเดิมพันเยอะจนไม่รู้ว่าจะเลือกแทงอันไหนดี

ขณะที่โป๊กเกอร์กับแบล็คแจ็คจะมีค่า House Edge ที่ไม่ค่อยนิ่ง เนื่องจากเป็นเกมที่เน้นทักษะของผู้เล่นเป็นหลัก ยากที่จะควบคุมสถานการณ์ ในบางครั้งคาสิโนก็มีความได้เปรียบต่ำมาก ๆ เมื่อเจอผู้เล่นที่เก่ง ก็จะเห็นได้ว่าเกมเดิมพันประเภทนี้น้อยมากที่จะมีคาสิโนมาร่วมเล่น จะมีก็เพียงเปิดโต๊ะให้ผู้เล่นมาแข่งขันกันเอง

4 เกมคาสิโนยอดนิยม

บาคาร่า (House Edge Banker 1.06% / Player 1.24%)

            เกมไพ่ยอดนิยมอันดับหนึ่งที่มีโอกาสชนะมากถึง 50% อัตราจ่ายขั้นต่ำ 0.95% สำหรับการแทงฝ่ายเจ้ามือ และ 100% สำหรับการแทงฝ่ายผู้เล่น หน้าที่ของเราเพียงแค่วางเดิมพันทายผลว่าฝั่งไหนจะชนะหรือออกมาเสมอกัน แต่เกมนี้มีข้อเสียตรงที่ให้ผลตอบแทนต่ำ การจะเล่นให้ถึงเป้าจำเป็นต้องใช้เวลา สูตรเดินเงินจึงเป็นอีกเครื่องมือที่จะช่วยให้ทำกำไรถึงเป้าได้ในระยะสั้น

รูเล็ต (House Edge 2.5%)

            สนุกไปกับเกมวงล้อที่ต้องไปลุ้นกันว่าจะตกหมายเลขหรือสีตามที่เราทายไว้หรือไม่ ทีเด็ดของรูเล็ตอยู่ตรงที่มีรูปแบบการวางเดิมพันมากกว่าสิบรูปแบบ ไม่ว่าจะเล่นแทงเลข แทงสี แทงโซน แทงวงนอก วงใน ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับผู้เล่นได้เป็นอย่างดี และมีโอกาสทำกำไรได้เร็วเช่นกัน

แบล็คแจ็ค (House Edge 8%)

            เกมไพ่ 21 ที่เล่นง่าย แค่รวมแต้มไพ่ให้ได้มากกว่าเจ้ามือและไม่เกิน 21 แต้ม ความพิเศษของเกมนี้คือเราสามารถแยกขาออกมาได้หากได้ไพ่คู่ แม้ว่าต้องเพิ่มเงินเดิมพันเข้าไป แต่ก็ช่วยเพิ่มโอกาสชนะได้เช่นกัน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งเกมไพ่ที่เล่นง่ายและทำกำไรในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี

สล็อต (House Edge 25% – 29%)

            แม้ว่าเกมนี้คาสิโนจะมีความได้เปรียบสูงก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเกมที่น่าเล่นอยู่ดี ด้วยรูปแบบที่เล่นง่าย อัตราจ่ายคืนผู้เล่นที่สูงถึง 94% เป็นอย่างต่ำ ทำให้ผู้เล่นมีโอกาสได้ลุ้นรางวัลกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะ Progressive Slot ที่มีรางวัลมากถึงหลักล้าน บางเกมมีการจัดแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ จึงเป็นอีกหนึ่งเกมน่าเล่นที่ต้องลอง

House Edge ลดได้หรือไม่

ใครที่คิดว่าจะลดค่า House Edge ด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้สูตรเล่น สูตรเดินเงิน หาจังหวะเข้าเล่น บอกเลยว่าไม่สามารถทำได้ทุกกรณี เพราะค่านี้ถูกการันตีจากแล็บทดสอบที่ได้มาตรฐานว่าเป็นเกมคาสิโนที่มีอัตราจ่ายยุติธรรมต่อผู้เล่น ต่อให้เป็นเจ้าของเกมก็ไม่สามารถแก้ไขค่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากจะออกเกมใหม่มาเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเราก็พอจะมีวิธีสร้างความได้เปรียบด้วยการเล่นในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะค่า House Edge จะทำให้งานได้ดีเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ หรือมีการเล่นเยอะ ๆ อย่างสล็อตจะเห็นว่ามีค่านี้สูงมาก ๆ ก็เพราะว่ามีคนเล่นเกมสล็อตเยอะจากทั่วโลก บวกกับองค์ประกอบของเกมทำให้คาสิโนมีความได้เปรียบสูง ต่างจากเกมที่เล่นง่าย ๆ อย่างแทงสี แทงคู่คี่ หรือสูงต่ำ พวกนี้เราจะมีโอกาสชนะมากกว่า

คงเห็นกันแล้วว่าค่า House Edge มีความสำคัญไม่น้อยกว่าความมีวินัย มีเป้าหมายในการเล่น เพียงแต่การเข้าใจถึงสิ่งนี้จะทำให้เรามองเห็นว่าเกมที่เล่นอยู่นั้นมีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหนในระยะสั้น หากมีโอกาสน้อยเกินไปอาจต้องใช้สูตรอื่น ๆ มาช่วยหรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำกำไรในระยะสั้น ที่สำคัญอย่าลืมว่ายิ่งนั่งนานคาสิโนก็จะยิ่งได้เปรียบเรามากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย

ศัพท์พื้นฐานในการเล่นแบล็คแจ็ค

แม้ว่าแบล็คแจ็คจะไม่ใช้เกมจิตวิทยาเหมือนโป๊กเกอร์แต่เกมนี้ก็มีคำศัพท์มากมายที่ต้องเข้าใจก่อนเล่น เพราะมันส่งผลต่อโอกาสที่จะแพ้หรือชนะโดยตรง หากเราเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ก็จะช่วยทำให้เข้าใจและเล่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งศัพท์พื้นฐานที่พบได้บ่อยก็มี

• Blackjack อันนี้หมายถึงไพ่ 2 ใบแรกที่รวมแต้มกันแล้วได้ 21 แต้มพอดี
• Hit เป็นการจั่วไพ่เพิ่มสามารถเรียกไพ่ได้ไม่จำกัด จนกว่าจะคิดว่าแต้มรวมที่มีใกล้เคียงกับ 21 แต้มมากที่สุด
• Stand เป็นการหยุดเมื่อคิดว่าแต้มรวมของไพ่สูงพอแล้ว
• Double Down เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่แจกไพ่ 2 ใบแรกไปแล้ว โดยผู้เล่นสามารถวางเดิมพันเป็น 2 เท่า แต่จะเรียกไพ่เพิ่มได้แค่อีก 1 ใบเท่านั้น
• Split เป็นการแบ่งไพ่ออกเป็น 2 ชุด ทำได้เฉพาะกรณีที่ไพ่ 2 ใบแรกเป็นแต้มเดียวกัน ตรงนี้จะแยกไพ่หรือไม่ก็ได้ หากมีการแยกไพ่ก็จะต้องวางเดิมพันเพิ่ม เหมือนการเล่นไพ่สองมือนั่นเอง
• Surrender เป็นการขอยอมแพ้หลังจากที่ได้รับแจกไพ่ 2 ใบแรกมาแล้ว โดยจะได้รับเดิมพันคืนกลับมาแค่ครึ่งเดียว
• Insurance เป็นการประกันเดิมพันในช่วงไพ่ 2 ใบแรก จะเกิดขึ้นเมื่อฝั่งเจ้ามือได้ไพ่ใบแรกเป็น A หากผู้เล่นต้องการ Insurance ก็ต้องจ่ายเงินครึ่งหนึ่งของเดิมพัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ดังนี้
• ถ้าเจ้ามือติดแบล็คแจ็คหรือชนะ ผู้เล่นจะได้รับเงินประกันคืนพร้อมเงินเดิมพัน
• ถ้าเจ้ามือแพ้ ผู้เล่นจะเสียเงินประกันให้เจ้ามือ

วิธีนับแต้มไพ่

สำหรับแบล็คแจ็คไพ่ทุกใบจะมีค่าที่แตกต่างกันไปดังนี้

• ไพ่ A จะมีค่าเป็น 1 แต้ม เมื่ออยู่กับไพ่หน้า 2-10 แต่จะมีค่าเป็น 11 แต้ม เมื่ออยู่กับไพ่ J, Q, K
• ไพ่ 2-10 จะมีค่าแต้มเท่ากับหมายเลขบนหน้าไพ่
• ไพ่ J, Q, K หรือที่เรียกกันว่าสามฝรั่งจะมีค่า 10 แต้ม

กติการการเล่น

1. เริ่มจากเจ้ามือแจกไพ่ใบแรกให้กับผู้เล่นทุกคนวนมาจนถึงเจ้ามือเป็นคนสุดท้าย แล้วเริ่มแจกไพ่ใบที่ 2 ในแบบเดียวกันจนครบ
2. ผู้เล่นแต่ละคนสามารถเรียกไพ่เพิ่มได้เรื่อย ๆ โดยเวียนตามลำดับการแจกไพ่ ซึ่งคนที่จะเรียกไพ่เพิ่มได้ต้องมีแต้มรวมไม่ถึง 21 แต้ม ถ้าเกิน 21 แต้ม จะถือว่าแพ้ทันที
3. สำหรับเจ้ามือจะเรียกไพ่เพิ่มได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะมีแต้มรวมไม่น้อยกว่า 17 แต้ม หากผู้เล่นได้แต้มน้อยกว่า 17 จะถือว่าแพ้เจ้ามือ ต้องเสียเดิมพัน แต่ถ้าเจ้ามือเปิดไพ่แล้วแต้มยังไม่ถึง 21 แต้ม ก็สามารถเล่นต่อได้จนจบเกม
4. กรณีที่เปิดไพ่มาแล้วเจ้ามือและผู้เล่นมีแต้มเท่ากัน เจ้ามือจะคืนเดิมพันให้กับผู้เล่นเต็มจำนวน

วิธีเล่นแบล็คแจ็ค

1. เจ้ามือแจกไพ่ให้กับผู้เล่นทุกคนก่อน 1 ใบ โดยคว่ำหน้าไพ่เอาไว้แล้วค่อยแจกให้ตัวเอง
2. เจ้ามือแจกไพ่ใบที่สองให้กับผู้เล่นทุกคนโดยคว่ำหน้าไว้เช่นกัน และจบที่ตัวเอง ซึ่งไพ่ของเจ้ามือจะต้องหงายหน้าไพ่ไว้ 1 ใบ
3. ผู้เล่นทุกคนจะรวมแต้มไพ่แล้วเริ่มเรียกไพ่เพิ่มตามลำดับการแจกไพ่ เพื่อให้ได้แต้มใกล้เคียงกับ 21 แต้มมากที่สุด
4. เมื่อผู้เล่นทุกคนเรียกไพ่ครบและไม่มีใครเรียกไพ่เพิ่มแล้ว เจ้ามือจะเปิดไพ่ใบที่สองขึ้นมา
5. หากแต้มรวมของเจ้ามือน้อยกว่า 17 แต้ม จะสามารถเรียกไพ่เพิ่มได้เรื่อย ๆ หมายความว่าเกมนี้เจ้ามือจะต้องมีแต้มรวมอย่างน้อย 17 แต้ม
6. เมื่อเจ้ามือหยุดจั่วไพ่ ผู้เล่นที่ได้แต้มรวมน้อยกว่า 17 แต้ม จะถือว่าแพ้เจ้ามือทันที ส่วนคนที่เหลือก็ทยอยวัดแต้มกับเจ้ามือ ใครได้แต้มมากกว่าก็จะชนะ
7. การได้เสียเดิมพันจะเกิดขึ้นระหว่างเจ้ามือกับผู้เล่นเท่านั้น ผู้เล่นด้วยกันไม่สามารถกินเดิมพันกันได้

สูตรแบล็คแจ็คเล่นยังไงให้ชนะเจ้ามือ

            จากกติกาที่บังคับให้เจ้ามือจั่วไพ่เพิ่มจนกว่าจะได้แต้มมากกว่า 17 แต้ม ตรงนี้เราสามารถเอามาใช้ตั้งต้นได้เลยว่าอย่างน้อยแต้มรวมของเราต้องมีให้มากกว่า 17 แต้มเหมือนกันถึงจะชนะเจ้ามือ แต่การเรียกไพ่เพิ่มทุกครั้งต้องคอยระวังด้วยว่าอย่าให้แต้มรวมเกิน 21 แต้ม เอาง่าย ๆ ก็คือก่อนจั่วไพ่ให้ดูความเป็นไปได้ด้วยว่าเราจะทำแต้มเกินมากน้อยแค่ไหน สมมติว่าไพ่คู่แรกได้ 15 แต้ม เราต้องได้ไพ่ไม่เกิน 6 แต้ม แต่ถ้าเรามีแต้มสัก 17 – 19 แต้ม อาจต้องหยุดไว้ก่อนแล้วไปลุ้นให้เจ้ามือทำแต้มเกินเอา เพราะมีโอกาสมากที่จะจั่วแล้วแพ้เพราะแต้มเกิน

            มาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าแบล็คแจ็คเป็นไพ่ที่น่าเล่นมาก ๆ แล้วกติกาก็ไม่ได้ยากอะไรเลย สำหรับใครที่สนใจเล่นเกมไพ่ชนิดนี้มีคาสิโนออนไลน์หลายเว็บที่เปิดให้ลองเล่นกันฟรี ๆ ไปฝึกลองเล่นกันก่อนได้ แล้วถ้าคิดว่าเล่นคล่องเมื่อไหร่ก็ค่อยมาเล่นด้วยเงินจริง แล้วจะรู้ว่านี่คืออีกเกมหนึ่งที่สามารถช่วยทำกำไรและสนุกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

Blackjack คืออะไร

แบล็คแจ็คเป็นไพ่อีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมเล่นกันทั่วไป เพราะใช้แค่ไพ่ 1 สำรับกับผู้เล่นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับบ้านเราการจะเล่นแบบนี้ก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะโดนจับได้เช่นกัน เนื่องจากการเล่นพนันถึงจะไม่มีการวางเดิมพันจริง ๆ ก็ยังคงถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในบ้านเรา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่พอจะมีเงินถึงมักจะไปเล่นแบล็คแจ็คตามคาสิโนในต่างประเทศมากกว่า โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านของเรา

จุดเด่นหรือเสน่ห์ที่ทำให้ไพ่แบล็คแจ็คได้รับความนิยมอย่างมากก็เพราะไพ่นี้มีกติกาง่าย ๆ แค่รวมแต้มไพ่ในมือให้ไม่เกิน 21 แต้มก็พอ ระหว่างนี้หากได้ไพ่คู่ก็ยังสามารถแยกขาออกมาเพื่อเพิ่มโอกาสชนะได้อีกด้วย ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องคอยกังวลเรื่องค่า House Edge ที่จะทำให้เสียเปรียบในระยะยาว

ปัจจุบันแบล็คแจ็คสามารถหาเล่นได้ง่ายตามคาสิโนออนไลน์ทั่วไป ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเปิดใหม่ให้เลือกเล่นกันมากมายแทบทุกเดือนพร้อมโปรโมชั่นที่หลากหลาย ให้โบนัสเครดิตฟรีแบบที่บ่อนคาสิโนเคยมีให้ แถมยังเล่นได้ทุกที่ทุกเวลากันอีกด้วย

ศัพท์ที่พบบ่อยใน Blackjack

อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่าการไม่รู้ศัพท์แบล็คแจ็คถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ยิ่งถ้าเป็นการเล่นในคาสิโนสดที่ต้องดวลกันระหว่างผู้เล่นด้วยกันเองอาจทำโดนอ่านทางได้ง่าย แค่ดูก็รู้แล้วว่ามือใหม่เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่พูดหรืออาจแสดงท่าทีบางอย่างออกมาให้เห็นถึงความไม่มั่นใจ สำหรับศัพท์แบล็คแจ็คที่พบได้บ่อยก็จะมี

• BlackJack หมายถึง การชนะด้วยไพ่สองใบแรกที่ได้รับแจกมาและมีแต้มรวมเท่ากับ 21 แต้มพอดี ซึ่งเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดแบล็คแจ็คก็มีคู่ไพ่ A10, AK, AQ และ AJ
• Hit หมายถึง การเรียกหรือการจั่วไพ่เพิ่มในกรณีที่แต้มรวมไพ่ในมือยังไม่ถึง 21 แต้ม
• Stand หมายถึง การหยุดจั่วไพ่หรือที่เรียกว่า “อยู่” เราจะใช้ Action นี้ก็ต่อเมื่อคิดว่าแต้มรวมที่ได้ตอนนี้น่าจะเพียงพอที่จะชนะแล้ว หรือคิดว่าหากจั่วเพิ่มแล้วอาจทำให้แพ้เพราะได้แต้มรวมมากกว่า 21
• Double Down หมายถึง การวางเดิมพันเป็น 2 เท่าของเดิมพันที่วางไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำได้หลังจากที่ได้รับไพ่ 2 ใบแรกครบแล้ว แต่การใช้ Action นี้จะทำให้จั่วไพ่ได้อีกแค่ใบเดียวเท่านั้น ถ้าแต้มรวมได้มากกว่าเจ้ามือและไม่เกิน 21 แต้ม ก็ถือว่าชนะ อัตราจ่ายอยู่ที่ 1 : 1
• Split หมายถึง การแยกไพ่ออกเป็นอีกชุด จะทำได้เมื่อมือปัจจุบันได้ไพ่สองใบแรกเป็นไพ่คู่ เช่น AA, 55, 88 เป็นต้น หากเลือกที่จะแยกไพ่ก็จะต้องวางเดิมพันให้กับมือที่แยกออกไปด้วยเป็นจำนวนเท่ากับมือที่แยกออกมา เช่น มือแรกวางไป 100 บาท ได้ไพ่คู่ AA เลือก Split ก็จะต้องวางเดิมพันอีก 100 บาท นั่นเอง
• Surrender หมายถึง การยอมแพ้หรือที่เรียกกันว่า “หมอบ” จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับไพ่ 2 ใบแรกไปแล้วและยังไม่มีการจั่วไพ่เพิ่มเท่านั้น
• Insurance หมายถึง การทำประกันเดิมพันเผื่อไว้ในกรณีที่ออกไพ่ Blackjack จะทำได้เมื่อไพ่ใบแรกฝั่งเจ้ามือออก A โดยสามารถวางเงินประกันได้ 50% ของเดิมพันที่วางไปก่อนหน้า หากไพ่ใบที่สองทำให้เจ้ามือติด Blackjack เราจะได้รับเงินกลับมาในอัตราจ่าย 2 : 1 แต่ถ้าไม่ติด Blackjack ก็จะเสียเงินประกันที่ว่าไป

Blackjack นับแต้มอย่างไร

ในคาสิโนออนไลน์จะใช้ไพ่สำหรับเล่นแบล็คแจ็คประมาณ 6 สำรับ ที่ถูกสับแล้วเอาไว้ในขอนเช่นเดียวกับบาคาร่า ซึ่งการนับแต้มไพ่แต่ละหน้าจะมีค่าแต้มดังนี้

• ไพ่ A (Ace) มีค่า 1 แต้ม เมื่อคู่กับไพ่ 2 – 9 แต่จะมีค่า 11 แต้ม เมื่อคู่กับไพ่ 10, J, Q หรือ K
• ไพ่ 2 – 9 มีค่าเท่ากับเลขหน้าไพ่
• ไพ่ 10, J, Q และ K มีค่า 10 แต้ม

วิธีแยกไพ่ Blackjack

การแยกไพ่แบล็คแจ็คก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะใช้เพิ่มโอกาสชนะได้เช่นกัน แต่ว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อไพ่ 2 ใบแรกที่ได้รับเป็นไพ่คู่เท่านั้น ได้แก่ AA, 22, 33, 44, 55, 66, 77, 88, 99, 1010, JJ, QQ และ KK โดยไม่จำเป็นต้องดอกเดียวกันก็ได้

แต่ก่อนที่จะแยกไพ่ต้องดูก่อนว่าไพ่คู่ที่ได้มีคู่ไหน หากเป็นคู่ AA หรือ 88 อาจต้องตัดสินใจว่าจะ Split หรือ Surrender เพราะไพ่ AA แต้มรวมมี 2 ต้อง Hit อีกหลายครั้ง ส่วน 88 ก็มีอยู่ 16 แต้ม จะ Hit ก็ต้องลุ้นให้ได้แต้มไม่เกิน 5 ซึ่งโอกาสที่จะ Hit แล้วได้เกิน 21 แต้มมีมากกว่า ต่างจากคู่อื่นที่จะ Hit หรือ Stand ก็ได้

นอกจากเงื่อนไขไพ่สองใบแรกที่ต้องเป็นไพ่คู่แล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนจะ Split ก็คือต้องดูเงินทุนที่มีอยู่ด้วย เพราะหลังจากที่ Split ไปแล้วจะต้องวางเดิมพันด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันให้กับขานั้น ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงให้ดีว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนเพิ่มหรือไม่